วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันเซ็งเม็ง

แน่นอนว่าหลายครอบครัวเชื้อสายจีนต่างมีโอกาสไปไหว้เชงเม้งกันบ้างแล้ว แม้ว่าตามปฏิทินจีนจะตรงกับวันที่ 5 เม.ย. ทุกปีก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการชุลมุนวุ่นวาย การจราจรที่ติดขัด และแดดที่ร้อนจ้าขึ้นทุกวันๆ โดยในปีนี้สามารถไหว้บรรพบุรุษที่สุสานในเทศกาลเชงเม้งได้ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. เป็นต้นมา ซึ่งถือว่าเป็น ‘วันชุนฮุน หรือ ชุงฮุง’ อันมีความเชื่อกันว่า เป็นวันที่ประตูสวรรค์ได้เปิดให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษลงมาเยี่ยมลูกหลานอีกครั้งหนึ่ง…

qing-ming
       ทั้งนี้ที่มาของเทศกาลเชงเม้งนั้น อ.จิตรา ก่อนันทเกียรติ กล่าวว่า “ที่มาของเทศกาลนี้มีหลายที่มาเช่น จากการที่อากาศของเมืองจีนจะเริ่มหนาวตั้งแต่เดือน 7 ซึ่งมันหนาวมาก ผู้คนมักไม่นิยมออกไปข้างนอก เมื่อย่างเข้าสู่เดือน 1 อากาศเริ่มอุ่น ดอกไม้เริ่มผลิบ้างแล้ว พอเดือนที่ 3 ทุกอย่างก็สวย ดอกไม้ก็งามมาก ชาวจีนจึงนิยมไปเที่ยวและไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน ในเดือนนี้ เพื่อดูว่ามีปัญหาหรือไม่”
       “ในขณะที่อีกที่มาหนึ่ง เขาเชื่อว่า เมื่อประมาณ 227 ปี มีเจ้าชายของเมืองหนึ่งถูกเนรเทศไปนาน 19 ปี แล้วสามารถต่อสู้และกอบกู้จนกลับมาปกครองเมืองได้ เจ้าชายองค์นี้จึงตอบแทนทหารทุกคน แต่ในครั้งนั้น เจ้าชายทำตกหล่นไปคนหนึ่ง ทหารคนนั้นเกิดน้อยใจ และตัดสินใจหนีเข้าป่าพร้อมกับแม่ของเขา เมื่อเจ้าชายนึกขึ้นได้แลทราบว่าเขาหนีเข้าป่าไปแล้ว จึงกลับมาตามหา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ จึงมีคนเสนอให้จุดไฟเผาป่า เพื่อที่ว่าทหารผู้นั้นจะได้วิ่งออกมา เมื่อเริ่มจุดไฟเผาป่านั้น ปรากฏว่า ทหารผู้นั้นกลับตายอยู่ในกองเพลิง ทุกคนจึงระลึกอยู่เสมอ โดยจะมาไหว้ที่สุสานของเขา และจะไม่จุดไฟหุงหาอาหารในวันนั้น”
     
       อย่างไรก็ดี คำว่า ‘ชิงหมิง ( qing-ming )’ หรือ ‘เชงเม้ง’ ‘เช็งเม้ง’ เป็นชื่อของสารท ( 1 ปีมี 24 สารท ) “เช็ง” หมายถึง สะอาด บริสุทธิ์ และ “เม้ง” หมายถึง สว่าง เมื่อนำมารวมแล้วจึงหมายความถึง ‘ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส รื่นรมย์’ ซึ่งเชงเม้ง (ไหว้หลุมฝังศพบรรพบุรุษ) เป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อบรรพบุรุษ แสดงถึงการมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และสะท้อนให้เห็นถึงความรักใคร่สามัคคีกัน นอกจากนั้นยังทำให้เหล่าเครือญาติได้มาร่วมพิธีกรรมนี้ได้พบปะสังสรรค์กินเลี้ยงกันหลังจากเสร็จพิธี เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ภายในครอบครัวและเหล่าเครือญาติ

       ความเชื่อเรื่องเชงเม้งกับความเป็นไปในครอบครัว
       เทศกาลเชงเม้งเป็นพิธีกรรมที่ชนรุ่นหลัง แสดงถึงความกตัญญูที่มีต่อบรรพบุรุษ โดยก่อนที่จะถึงวันเซ่นไหว้สักสองสามวัน ลูกหลานก็จะชักชวนกันไปถางหญ้าบริเวณหลุมฝังศพ (บ่อง) ของบรรพบุรุษ หรือโทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่สุสานนั้นๆให้ทำความสะอาดเรียบร้อยปราศจากต้นไม้ หญ้ารกรุงรัง รวมทั้งบริเวณเจ้าที่ (ไท้เต่กัง) และพูนดินบนหลุมศพให้สูงขึ้น เมื่อถึงวันไหว้ลูกๆหลานๆ โดยเฉพาะครอบครัวไหนที่มีเด็กๆวัยซนก็จะเป็นผู้ทำหน้าที่เอากระดาษสีต่าง ๆ มาตกแต่งหลุมศพ การโดยกระดาษหลากสี อาจจะเป็นการให้เห็นได้ชัดว่า วันนี้ลูกหลานมาไหว้บรรพบุรุษเป็นการบอกให้รู้ว่า หลุมศพนี้มีลูกหลานมาเซ่นไหว้แสดงความระลึกถึง ความกตัญญูแล้ว ส่วนหลุมศพที่ไม่มีคนมาไหว้หลาย ๆ ปี นานไปก็จะสูญหายจากนั้นก็จะนำอาหารคาวหวานไปเซ่นไหว้ การนำกระดาษหลากสีไปประดับบนหลุมฝังศพ เปรียบกระดาษสี คือ เสื้อผ้าใหม่สำหรับผู้ตาย และการนำดินมากลบบนหลุมให้เป็นเนินสูง ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการทำให้ลูกหลานทำมาหากินเพิ่มพูน หากหลุมศพใดไม่กลบดินหรือพอกพูนดิน ลูกหลานจะทำมาหากินไม่บังเกิด ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูน อนึ่งในระยะนี้ ถ้าลูกหลานต้องการซ่อมแซมหลุมศพ (บ่อง) ให้ สวยงามก็สามารถทำได้ แต่สำหรับเดือนอื่น ๆ ห้ามทำเด็ดขาด ถือว่าเป็นสิ่งอัปมงคลจะทำลูกหลานมีอันเป็นไป หรือลูกหลานจะทำมาหากินไม่เจริญรุ่งเรือง ทั้งนี้ปัจจุบันจะเห็นว่า ชาวบ้านยังคงมีความเชื่อในด้านกระทำกับหลุมศพ และถือเคล็ดว่าหากไม่ได้ทำหรือทำไม่ดี ตนเองจะได้รับผลกระทบในการทำมาหากิน และความเป็นอยู่ ซึ่งชาวบ้านเรียนรู้จากคนรุ่นก่อนที่ได้เล่าสืบต่อกันมา และจากประสบการณ์ของตนเอง

       ส่วนประโยชน์ของการไปไหว้บรรพบุรุษเทศกาลเชงเม้ง สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือเพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงคุณความดีที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำและได้ดูแลเรา ท่านยอมลำบากเพื่ื่อเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เราสบาย เพราะพ่อแม่ บรรพบุรุษลำบาก” อีกประการหนึ่งคือเทศกาลเชงเม้งนี้จะเป็นศูนย์รวมตระกูล ผังตระกูล
       เพราะโดยทั่วไปแล้ว การไหว้ที่ดีที่สุดคือต้องนัดหมายไปไหว้พร้อมกัน (วันและเวลาเดียวกัน) ทำให้ลูกหลานที่อยู่กระจายกันไป ได้มาพบปะ สังสรรค์กันพร้อมหน้า ซึ่งเป็นการสร้างความสามัคคี สร้างจุดศูนย์รวม กล่าวได้ว่าเป็น วันรวมญาติ และเป็นกรอบถนนชีวิตของลูกหลานทุกคน “พ่อแม่ตายแล้ว ยังกำหนดชะตาชีวิตลูกหลาน”เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เน้นความกตัญญูที่มีต่อบุพการีและลูกหลานควรปฏิบัติตาม และสุดท้ายคือเป็นการเตือนสติตน ความตายต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน
     
       ความเชื่อและข้อเท็จจริงตาม หลักฮวงจุ้ย
       1.เมื่อทานหอยแครงเสร็จ จะโยนเปลือกหอยแครง
       ลงบนเนินหลังเต่า ( เนินดินด้านหลัง ป้ายสุสานบรรพบุรุษ ) ความหมายคือ มีลูกหลานมาก ประเด็นนี้ ไม่ขัดกับหลักวิชา

       2.ทุกครั้งที่มาไหว้ จะขุดเอาดินมากลบบนหลังเต่า โดยเชื่อว่า จะทำให้การค้าเพิ่มพูน
     
       ข้อเท็จจริง : จะทำก็ต่อเมื่อ หลังเต่ามีรูแหว่งไป จึงซ่อมแซม และต้องดูฤกษ์โดยเฉพาะการขุดดิน ถือเป็นการกระทบธรณี
     
       3.ปลูกดอกไม้ รอบๆ สุสานบรรพบุรุษ
     
       ข้อเท็จจริง : ห้ามปลูกดอกไม้ รอบๆ สุสานบรรพบุรุษ มีความหมายด้าน ชู้สาว แต่ปลูกหญ้าได้
     
       4.หากต้องการซ่อมแซม สุสานบรรพบุรุษ ทำได้เฉพาะ สารทเช็งเม้ง เท่านั้น
     
       ข้อเท็จจริง : ไม่จำเป็นต้องเป็น เทศกาลเช็งเม้ง ขึ้นอยู่กับฤกษ์
       หากทำในสารทนี้โดยไม่ดูฤกษ์ กลับจะเกิดโทษภัยจาก อสูร

       5.จุดประทัด เพื่อกำจัดผีร้ายให้พ้นไป
     
       ข้อเท็จจริง : ตามหลักวิชา การจุดประทัด เป็นการกระตุ้น
       หากตำแหน่งถูกต้อง ก็จะได้ลาภ หากผิดตำแหน่ง จะเกิดปัญหา
       ( ผู้ปฏิบัติต้องเข้าใจเรื่อง ดาว 9 ยุค และฤกษ์ เป็นอย่างดี )
     
       6.บางครอบครัวต้องการประหยัด จัดอาหารไหว้เพียง 1 ชุด ไหว้หลายแห่ง
     
       ข้อเท็จจริง : ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง บรรพบุรุษ ชุดแรกสุดเท่านั้นที่ได้รับ
     
       7.บางคนเชื่อว่า จะไม่เผากระดาษทองให้กับ บรรพบุรุษ
       นอกจากตายมานานแล้ว ถือว่าได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นเทพ

       ข้อเท็จจริง : ตามประเพณีโดยทั่วไปไม่มี
       8.การไว้ทุกข์พ่อแม่ ต้องนาน 3 ปี
     
       ข้อเท็จจริง : ประเพณีบางท้องถิ่น กำหนดเช่นนั้นจริง
       โดยเน้นเรื่องความกตัญญูเป็นหลัก
     
       9.การไป ไหว้บรรพบรุษ ครั้งแรก ต้องดูฤกษ์
     
       ข้อเท็จจริง : เป็นเรื่องถูกต้องตามหลักวิชา ฮวงจุ้ย
       โดยปกติแล้ว ซินแส จะเป็นผู้กำหนดฤกษ์ให้
       หากทิศด้านหลัง สุสาน เป็นทิศห้าม ทิศอสูร ทิศแตกสลาย
       *ต้องใช้ฤกษ์ปลอดภัยและไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นช่วง เช็งเม้ง เท่านั้น* และปีต่อ ๆ ไป ไม่ต้องมีการ ดูฤกษ์ อีก
     
       อาจกล่าวได้ว่า “เชงเม้ง” คงเป็นอีกหนึ่งวันที่ทุกคนในครอบครัวจะได้พบปะ พูดคุยกัน ต่อหน้าอากง-อาม่า ซึ่งเชื่อว่า หากท่านรับรู้ได้คงมีความสุขอยู่ไม่น้อยที่ลูกหลานของท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น